ประวัติ ของ ห้ามถาม ห้ามบอก

ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้

การยกเลิก

รัฐบัญญัติปรับปรุงการเตรียมพร้อมทางทหาร

รัฐบัญญัติปรับปรุงการเตรียมพร้อมทางทหารเป็นร่างกฎหมายที่ได้รับการเสนอเข้าสู่สภาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2548 โดยแจ้งจุดประสงค์ว่า "เพื่อแก้ไขลักษณะ 10 ของประมวลกฎหมายสหรัฐ เพื่อปรับปรุงการเตรียมพร้อมของกองทัพโดยเปลี่ยนนโยบายปัจจุบันเกี่ยวกับการรักร่วมเพศในกองทัพ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม 'ไม่ถาม ไม่ตอบ' ให้เป็นนโยบายที่ไม่มีการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของรสนิยมทางเพศ" ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการเสนออีกครั้งใน พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2552

การยกเลิกใน พ.ศ. 2553

ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ได้สนับสนุนการยกเลิกในกฎหมายที่ห้ามกลุ่มรักร่วมเพศมิให้เข้ารับราชการทหาร[3] วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552 โอบามาได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อมูลนิธิรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน กลุ่มให้การสนับสนุนรักร่วมเพศ รักร่วมสองเพศและคนข้ามเพศที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ว่าเขาจะยุติการห้ามดังกล่าว แต่ไม่ได้กำหนดตารางเวลาที่ชัดเจน[6] ในตำแหน่งประธานาธิบดี โอบามาได้กล่าวในการแถลงนโยบายประจำปี พ.ศ. 2553 ครั้งแรก ว่า "ในปีนี้ ผมจะทำงานร่วมกับรัฐสภาและกองทัพของเราเพื่อยกเลิกกฎหมายที่ปฏิเสธสิทธิของชาวอเมริกันเกย์ที่จะรับใช้ชาติที่พวกเขารัก เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาเป็น"[7] คำแถลงดังกล่าวตามมาด้วยการแสดงความเห็นด้วยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โรเบิร์ต เกตส์ และประธานคณะเสนาธิการร่วม ไมเคิล มุลเลน ที่ให้ยกเลิกนโยบายดังกล่าวอย่างรวดเร็ว[8]

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553 รัฐมนตรีเกตส์ได้มีเอกสาร[9] สั่งให้คณะทำงานระหว่างกระทรวงและระหว่างหน่วยงานจะได้รับการัดตั้งขึ้น "เพื่อควบคุมการทบทวนที่ครอบคลุมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย [ห้ามถาม ห้ามบอก]" คณะทำงานทบทวนครอบคลุม (CRWG) มีประธานร่วม คือ พลเอกคาร์เตอร์-แฮม และที่ปรึกษาทั่วไปกระทรวงกลาโหม เจย์ จอห์นสัน[10] ทางเพนตากอนได้ตีพิมพ์รายงานสุดท้ายของคณะทำงานเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 โดยมีเนื้อหาระบุว่า การยกเลิกกฎหมายมีอัตราความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดการขัดขวางการทำงานของหน่วยงาน[11] รัฐมนตรีกลาโหม เกตส์ เกรงว่าศาลจะบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งอย่างระมัดระวัง[11] จึงกระตุ้นให้สภาคองเกรสมีมติยกเลิกกฎหมายอย่างรวดเร็ว เพื่อที่ว่าทางกองทัพจะได้ปรับตัวอย่างรวดเร็ว พรรคเดโมแครตได้เลื่อนการพิจารณายกเลิกกฎหมายให้เร็วขึ้น[12]

25 มีนาคม พ.ศ. 2553 เกตส์ได้ประกาศกฎใหม่ที่สั่งให้มีเพียงนายทหารระดับนายพลเท่านั้นที่สามารถเริ่มการดำเนินการปลดออกจากหน้าที่และกำหนดกฎของพยานหลักฐานที่เข้มงวดที่จะถูกนำไปใช้ในระหว่างการพิจารณาปลดออกจากหน้าที่[13]

27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริการับรองการแปรบัญญัติเมอร์ฟี[14] ที่แก้ไขรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติสำหรับปีงบประมาณ 2554 ด้วยคะแนนเสียง 234-194 เสียง[15] ซึ่งจะยกเลิกส่วนกฎหมายที่เกี่ยวข้องใน 60 วันหลังจากการศึกษาโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐเสร็จสิ้น และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประธานคณะเสนาธิการร่วม และประธานาธิบดีสหรัฐรับรองว่าการยกเลิกกฎหมายดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของกองทัพ[16][17] วันเดียวกัน คณะกรรมการกิจการทหารวุฒิสภาสหรัฐได้มีมาตรการอย่างเดียวกันด้วยคะแนนเสียง 16-12 เสียงที่จะนำเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติ[16] ร่างกฎหมายที่ได้รับการเสนอผ่านสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553[18]

21 กันยายน พ.ศ. 2553 จอห์น แมคเคน สามารถขัดขวางการผ่านมติได้สำเร็จ (56-43 เสียง) ต่อการโต้วาทีเกี่ยวกับรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติ[19]

3 ธันวาคม พ.ศ. 2553 คณะเสนาธิการร่วมได้ปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการกิจการทหารวุฒิสภาเกี่ยวกับห้ามถาม ห้ามบอก[20] ในขณะที่รองประธานคณะเสนาธิการร่วม เสนาธิการทหารเรือ และผู้บัญชาการยามฝั่งได้ประเมินว่าการยกเลิกนโยบาย "ห้ามถาม ห้ามบอก" จะมีผลกระทบน้อยต่อการทำงานร่วมกันของทหารบกและทหารเรือ เสนาธิการทหารบกและทหารอากาศเช่นเดียวกับผู้บัญชาการนาวิกโยธินกลับไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกกฎหมายในคราวนี้[20] โดยกล่าวว่า ในขณะที่การรับชายและหญิงรักร่วมเพศสู่กองทัพเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้[20] การยกเลิกนโยบายดังกล่าวจะก่อให้เกิดความตึงเครียดไม่พึงปรารถนาเพิ่มเติมต่อกำลังเน้นการรบระหว่างช่วงสงครามปัจจุบัน[20]

9 ธันวาคม พ.ศ. 2553 การขัดขวางการผ่านมติอีกครั้งหนึ่งเป็นอุปสรรคต่อการโต้วาทีเกี่ยวกับรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติระหว่างสมัยประชุมสภาที่มีสมาชิกไม่ได้รับเลือกตั้งซ้ำ ซูซาน คอลลินส์ จากรัฐเมน ลงคะแนนเสียงให้ปิดอภิปรายและให้มีการลงคะแนนเสียงทันที และโจ แมนชิน จากรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ได้ลงคะแนนเสียงคัดค้าน[21] แมนชินกล่าววว่าเขาไม่สนับสนุนให้มีการลงคะแนนเสียงทันทีเพราะเขายังไม่ได้หารือกับประชาชนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว แต่ก็ระบุว่านโยบายดังกล่าว "มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกยกเลิกในอนาคตอันใกล้"[22]

สมาชิกวุฒิสภา โจ ลีเบอร์แมน และซูซาน คอลลินส์ ได้เสนอร่างกฎหมาย เอส.4022 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เพื่อตอบโต้ความล้มเหลวในการเปิดอภิปรายรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติ รวมไปถึงกับส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐบัญญัติอนุมัติการป้องกันแห่งชาติ ซึ่งลีเบอร์แมนและคอลลินส์พิจารณาว่าร่างกฎหมายดังกล่าวสามารถผ่านเป็นกฎหมายเดี่ยวได้ วอชิงตัน โพสต์ได้เปรียบเทียบมันกับการส่งเฮลแมรี่[23][24] ร่างกฎหมาย เอช.อาร์. 6520 ได้รับการสนับสนุนจากแพทริก เมอร์ฟี และผ่านสภาผู้แทนราษฎรโดยทาง เอช.อาร์. 2965 ด้วยคะแนนเสียง 250 ต่อ 175 เสียง วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553[25][26]

18 ธันวาคม พ.ศ. 2553 วุฒิสภาลงคะแนนเสียงเพื่อปิดการโต้วาทีใน เอส. 4023 อันเป็นร่างกฎหมายของวุฒิสภาที่เหมือนกับ เอช.อาร์. 2965 โดยทางการลงคะแนนเสียงทันทีด้วยคะแนนเสียง 63-33 เสียง[27] ก่อนหน้าการลงคะแนน ลีเบอร์แมนได้กล่าวสรุปโดยเห็นด้วยกับการยกเลิกห้ามถาม ห้ามบอก และแมคเคนกล่าวสรุปโดยเห็นตรงกันข้าม ผลคะแนนสุดท้ายของวุฒิสภาที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน โดยมาตรการที่ได้รับการเสนอนั้นผ่านด้วยคะแนนเสียง 65-31 เสียง[4]

เกตส์ได้มีการแถลงหลังจากการลงคะแนนเสียงชี้ว่าการวางแผนสำหรับการดำเนินการยกเลิกนโยบายดังกล่าวจะเริ่มขึ้นในทันที นำโดยรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านกำลังพลและความพร้อมรบ คลิฟฟอร์ด แอล. สแตนลีย์ และจะมีการดำเนินการจนกระทั่งเกตส์เชื่อว่าเขาสามารถรับรองว่าเป็นไปตามเงื่อนไขสำหรับการยกเลิกนโยบายดังกล่าวอย่างสงบเรียบร้อย[28]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ห้ามถาม ห้ามบอก http://www.abc.net.au/news/stories/2010/12/23/3099... http://cbs2.com/national/gays.openly.serve.2.17215... http://www.cnn.com/2010/POLITICS/01/27/obama.gays.... http://www.cnn.com/2010/POLITICS/09/21/senate.defe... http://abcnews.go.com/Politics/wireStory?id=880132... http://www.msnbc.msn.com/id/24046489/ http://www.nytimes.com/2010/02/03/us/politics/03mi... http://www.nytimes.com/2010/05/28/us/politics/28te... http://www.nytimes.com/2010/12/01/us/politics/01mi... http://www.nytimes.com/2010/12/19/us/politics/19co...